ภารกิจหนีแม่เที่ยว : นารา #Day 5

Guest

Day 5 : นาราอดีตเมืองหลวงเก่าแห่งประเทศญี่ปุ่นอีกเช่นกัน ที่นี่คนส่วนใหญ่มักมาชมศาลเจ้า วัด และกวางที่เดินไปเดินมา แต่ถ้าคุณตามผมมาคุณจะไม่ได้ทำอะไรแบบนั้นแน่นอน เพราะผมจะพาคุณไปขึ้นเดินข้ามภูเขาแห่งเมืองนาราด้วยระยะทางรวมทั้งทริปกว่า 10 กิโลเมตรเพื่อไปชมวิวบนยอดเขาและน้ำตกที่แสนตื้นตันใจ
สถานี : Nara
ค่าเดินทาง : 560 เยนจากสถานี Shinimamiya โดยสาย Yamatoji Line


เดินไปเรื่อยๆโดยที่ไม่รู้เส้นทางและในหัวมีเพียงแค่จุดชมวิวบนยอดเขา หวังว่าเดินไปเรื่อยๆคงถึงทางขึ้นเขา

และโชคก็เข้าข้างผมเจอทางขึ้นเขาจริงๆ แต่เป็นทางขึ้นจากฝั่งขวา

ระหว่างทางจะมีจุดแวะพักและห้องน้ำคอยให้บริการอยู่ ดังนั้นไม่ต้องห่วงว่าจะฉี่ราดระหว่างทางแน่นอน

และเมื่อเดินมาเรื่อยๆกว่า 5 กิโลเมตรผมก็ไดพบกับคู่รักที่มาขึ้นเขาเหมือนกันและหวังว่าเขาจะเดินไปยังจุดชมวิวเหมือนกันผม

แต่แล้วผมพบกับเลี้ยวขวาเพื่อพบกับน้ำตกที่แสนตื้นตันใจ ยิ่งเข้าไปใกล้ทางแยกมากเท่าไหร่ก็ยิ่งได้ยินเสียงแปลกๆ ตึกตักๆๆๆ และที่มาของเสียงนั้นก็คือ…

ครับ เล่นซะผมกลัวไปเลยนะบางที

น้ำตกขนาดเล็กถึงเล็กมาก ***แคปมาจากวิดีโอภาพเลยไม่ค่อยชัด ตัดภาพมาที่ทางไปจุดชมวิวเลยดีกว่า เนื่องจากภาพน้ำตกที่ผมเห็นนั้นมันทรมาณจิตใจเกินบรรยาย จึงถ่ายเพียงแค่วิดีโอไว้เท่านั้น

อ่านไม่ออก ขอซับไทยได้ไหม

เดินคนเดียวค่อนข้างหลอนครับ ยิ่งตอนนี้เป็นเวลาที่พระอาทิตย์ใกล้จะตกดินแล้วนั้นยิ่งหลอนเข้าไปใหญ่

แต่ความหลอนของภูเขาแห่งนี้ยังไม่น่ากลัวเท่า ป้ายนี้ ถึงจะอ่านไม่ออกแต่แค่เห็นผมก็แทบขนลุกซู่ เพราะไม่รู้ว่าจะเจอกับงูอะไรจึงได้แต่เดินไปเรื่อยๆภายใต้ความหลอนของภูเขา

นั่นไง เพิ่มระดับความหลอนด้วยจุดแวะพักที่มักพบเจอได้ในอนิเมะสยองขวัญของญี่ปุ่น

และแล้วในที่สุดก็มาถึงจุดชมวิว และโชคดีที่พระอาทิตย์ยังไม่ตก

แม้แต่จุดชมวิวบนยอดเขายังมีตู้กดน้ำคอยให้บริการ

พระอาทิตย์อัสดงที่เย้ายวนให้ไปชื่นชมจากบนยอดเขานั้นทำให้ผมรีบวิ่งขึ้นบันไดขึ้นไปชมอย่างไม่รีรอ

ตามฉบับเมืองนาราต้องมีกวางอยู่แทบทุกที่

จุดชมวิวแห่งนี้ค่อนข้างโรแมนติกในยามเย็นเพราะนอกจากได้ชมวิวจากที่สูงแล้วยังมีบันไดให้เดินลงไปชมวิวตามจุดต่างๆอีกด้วย

และก็อดไม่ได้ที่จะหยิบกล้องโซนี่ a5100 ขึ้นมากดชัตเตอร์รัวๆ

ถ่ายแต่วิวแล้วก็อยากลองถ่ายภาพตัวเองบ้างแต่จะถ่ายหน้าก็กลัวจะโดนดราม่าแบบคนอื่น เอาเป็นถ่ายจากด้านหลังก็แล้วกัน

ไม่แน่ใจว่าคือพืชอะไรแต่ขึ้นเรียงรายตามริมเขาอยู่เป็นจำนวนมาก เพิ่มความโรแมนติกให้กับสถานที่นี้ไม่น้อยเลยทีเดียว

มุมนี้ผมค่อนข้างชอบเป็นพิเศษถึงจะมีผู้คนเดินไปเดินมาก็ตาม

พระอาทิตย์เริ่มตกดินก็ได้เวลากลับเพราะผมต้องเดินลงจากเขาด้วยตัวคนเดียว ถ้าไม่รีบลงตอนที่มีแสงอยู่อาจเป็นอันตรายต่อตัวเองได้

ถึงจะรีบยังไงก็ยังไม่วายถ่ายวิวให้ทั่วทุกจุด

เดินลงมาตามทางรถวิ่งนี่แหละครับปลอดภัยสุด แต่ระวังรถให้ดีล่ะ ไม่งั้นคุณอาจได้ไปนอนหยอดน้ำเกลืออยู่ที่โรงพยาบาล นอกจากรถแล้วก็ยังมีอีกสิ่งที่ทำให้ผมรู้สึกกลัวนั่นก็คือ เสียงกวาง ด้วยความที่ระหว่างทางนั้นเริ่มมืดทำให้ทัศนวิสัยไม่ค่อยจะดีนักพอได้ยินเสียงอะไรแปลกก็มักจะมโนเป็นตุเป็นตะ

เดินลงมาเรื่อยๆโชคดีที่นอกจากความมืดก็ยังมีสถานที่ที่ถ้าผมเกิดอุบัติเหตุก็ยังสามารถเดินมาขอความช่วยเหลือได้

เหรอ!!! เดินมาตั้งนานก็ยังไม่ถึงเมืองสักทีได้แต่จ้องมองแสงไฟจากในเมืองพร้อมกับพระอาทิตย์ที่ใกล้จะลับขอบฟ้า

ในที่สุดก็มาถึงเขตเมือง น้ำตาแทบเล็ตกูรอดแล้ว คิดว่าจะได้ลงข่าวหน้าหนึ่ง เด็กไทยวัย 19 โดยรถชนตกเขาและโดนเสือคาบไปแดก *จริงๆมโนไปเรื่อยเพราะความกลัว

สถานที่นี้จะมีกวางออกมาเดินเล่นค่อนข้างเยอะในตอนกลางวัน พอตกกลางคืนก็นะสักตัวนี่แทบไม่เห็น หรือเพราะมันมืดก็ไม่รู้

พอเข้ามาถึงตัวเมืองก็ได้ยินบทเพลงอันไพเราะจากหญิงสาวรูปงามคนนี้นี่เอง ถ้าไม่ติดว่าหิวข้าวผมนี่จะปูเสื่อฟังเธอร้องจนจบเพลงเลย

แลนด์มาร์คอีกจุดของเมืองนารานั่นก็คือถนนฮิกะชิมูกิ ที่นี่มีเมนูเด็ดขึ้นชื่อนั่นก็คือ ขนมโมจิจาก TV Champion แห่งเมืองนารา *แต่ผมมาไม่ทันร้านปิดซะก่อน

เห็นในเมนูราคาเพียงแค่ 920 เยนเลยคิดว่าคงพอแค่ประทังชีวิตได้จนถึงที่พัก แต่พอพนักงานยกมาเสิร์ฟผมนี่แทบตกใจกับชามที่ใหญ่พอๆกับขนาดตัว *เป็นผู้ชายร่างเล็กครับสูง 170 หนัก 54

เมื่ออิ่มหนำสำราญกับราเมนไปแล้วก็ถึงเวลาที่ต้องแบกสังขารตัวเองกลับที่พักจากสถานี Nara

Share This Article
Leave a comment